กรุณาใช้ตัวระบุนี้เพื่ออ้างอิงหรือเชื่อมต่อรายการนี้: http://ir.sru.ac.th/handle/123456789/1114
ชื่อเรื่อง: การขับเคลื่อนการบริหารกลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิตบนฐานพลังอำนาจของชุมชนให้มีประสิทธิภาพ : กรณีศึกษา กลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิตบ้านปากคู อำเภอคีรีรัฐนิคม จังหวัดสุราษฎร์ธานี
ชื่อเรื่องอื่นๆ: Driving Effective Community-Based Savings Group Management for Production Empowerment: A Case Study of the Ban Pak Ku Production Savings Group, Khiri Rat Nikhom District, Surat Thani Province
ผู้แต่ง/ผู้ร่วมงาน: ละลินดา แดงก่อเกื้อ
ชนัญชิดา ทิพย์ญาณ
วาสนา จาตุรัตน์
คำสำคัญ: กลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิต
พลังอำนาจของชุมชน
ประสิทธิภาพ
วันที่เผยแพร่: 10-ตุล-2568
สำนักพิมพ์: บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี
แหล่งอ้างอิง: บทความ, การค้นคว้าอิสระรัฐศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการเมืองการปกครอง
บทคัดย่อ: การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการบริหารกลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิตบนฐานพลังอำนาจของชุมชนบ้านปากคู 2) วิเคราะห์ปัญหาและอุปสรรคของกลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิตบนฐานพลังอำนาจของชุมชน บ้านปากคู และ3) เสนอแนวทางการขับเคลื่อนการบริหารกลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิตบนฐานพลังอำนาจของชุมชน บ้านปากคู อำเภอคีรีรัฐนิคม จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้แบบสัมภาษณ์และการสนทนากลุ่มเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 30 คน ประกอบด้วย ตัวแทนคณะกรรมการกลุ่ม ตัวแทนสมาชิกกลุ่ม ตัวแทนผู้นำในชุมชน ตัวแทนเจ้าหน้าที่องค์กรภาครัฐ และตัวแทนปราชญ์ชุมชน คัดเลือกโดยวิธีแบบเจาะจง และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารของกลุ่มออมทรัพย์บ้านปากคูตั้งอยู่บนหลักการมีส่วนร่วม ความโปร่งใส และการตรวจสอบได้ โดยใช้โครงสร้างการบริหารที่แบ่งหน้าที่ชัดเจน มีระเบียบข้อบังคับที่เป็นธรรม และกิจกรรมร่วมที่เสริมสร้างความสัมพันธ์และพลังชุมชน พร้อมทั้งได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานภายนอกในลักษณะของพี่เลี้ยง และยังมีปัจจัยสนับสนุนจากภายนอกและภายใน เช่น ทุนในชุมชน ความไว้เนื้อเชื่อใจภายในกลุ่มที่เข้มแข็ง และการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐ 2) ปัญหาและอุปสรรคของกลุ่มออมทรัพย์พบว่า กลุ่มยังขาดการหมุนเวียนผู้นำ ระบบบัญชีไม่ทันสมัย การพัฒนาศักยภาพของคณะกรรมการไม่ต่อเนื่อง และระบบสวัสดิการยังไม่ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย สมาชิกขาดความเข้าใจด้านการเงินและมีการชำระหนี้ล่าช้า รวมถึงการสื่อสารภายในกลุ่มยังไม่ทั่วถึงและเป็นระบบ และ 3) แนวทางการขับเคลื่อนการบริหารกลุ่มออมทรัพย์ผ่านกรอบแนวคิด SCOBE Model ซึ่งประกอบด้วย (1) การจัดโครงสร้างและกระบวนการทำงานที่ชัดเจนและยืดหยุ่น (2) การบริหารทุนและทรัพยากรด้วยระบบดิจิทัลที่โปร่งใส (3) การพัฒนาศักยภาพองค์กรผ่านกระบวนการ “ชุมชนสอนชุมชน” (4) การขยายบทบาทของกลุ่มให้เป็นกลไกพัฒนาคุณภาพชีวิต และ (5) การเสริมสร้างพลังอำนาจจากภายในให้สมาชิกมีบทบาทอย่างเท่าเทียมและยั่งยืน ทั้งนี้ โมเดลดังกล่าวได้รับการยอมรับจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องว่าสามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาและแก้ไขปัญหาการบริหารกลุ่มออมทรัพย์ได้อย่างเหมาะสมในระดับชุมชน
รายละเอียด: การค้นคว้าอิสระรัฐศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี
URI: http://ir.sru.ac.th/handle/123456789/1114
ปรากฏในกลุ่มข้อมูล:Politics and Government : Independent Study (IS)

แฟ้มในรายการข้อมูลนี้:
แฟ้ม รายละเอียด ขนาดรูปแบบ 
บทความ-ละลินดา แดงก่อเกื้อ.pdfบทความ, ละลินดา แดงก่อเกื้อ462.72 kBAdobe PDFดู/เปิด


รายการทั้งหมดในระบบคิดีได้รับการคุ้มครองลิขสิทธิ์ มีการสงวนสิทธิ์เว้นแต่ที่ระบุไว้เป็นอื่น